1. บริโภคอาหารที่มีปริมาณแคลเซียมสูง เนื่องจากแคลเซียมเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการสร้างเนื้อกระดูกและป้องกันการสูญเสียเนื้อกระดูก การได้รับแคลเซียมจากอาหารอย่างเพียงพอจะช่วยป้องกันการสูญเสียมวลกระดูก โดยทั่วไปปริมาณที่แนะนำให้บริโภคต่อวันคือ 800-1200 มิลลิกรัม แต่ในวัยผู้ใหญ่ที่อายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป ควรบริโภคแคลเซียมให้ได้ 1200 – 1500 มิลลิกรัมต่อวัน สำหรับแหล่งอาหารที่มีแคลเซียมสูง จำแนกตามปริมาณที่ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมไปใช้ พบว่า กลุ่มอาหารจำพวกผักใบเขียว ได้แก่ บล็อกโคลี่ ผักกาดเขียว ผักกวางตุ้ง คะน้า แขนงผัก และดอกกระหล่ำ กลุ่มอาหารเหล่านี้ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมได้สูงสุด โดยดูดซึมได้มากกว่า 50% ของปริมาณแคลเซียมในอาหารที่ทานเข้าไป
รองลงมา คือ นมหรือผลิตภัณฑ์จากนม นมถั่วเหลือง และเต้าหู้ ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมได้ 30% กลุ่มอาหารจำพวกถั่ว ถั่วอัลมอนด์ ถั่วลาย และงา ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมได้ 20% การทานแคลเซียมมื้อละน้อยๆ (ไม่เกิน 500 มิลลิกรัม/มื้อ) หรือแบ่งเป็นมื้อเล็กหลายๆ มื้อ มีแนวโน้มจะดูดซึมได้ดีกว่าการทานคราวละมากๆ เนื่องจากธรรมชาติของคนเรามี “เพดาน” ของการดูดซึม คือ ดูดซึมแคลเซียมได้จำกัด (ที่ประมาณ 500 มิลลิกรัม/มื้อ) ดังนั้น การดื่มนมเพื่อเสริมสร้างแคลเซียม ควรดื่มนมมื้อละ ไม่เกิน 2 แก้ว (แก้วละ 250 มิลลิลิตร ไม่ควรดื่มทีเดียวครั้งละเป็นลิตร เพราะ การได้รับแคลเซียมก็จะไม่ต่างกันกับการดื่มมื้อละ 1-2 แก้ว การเพิ่มการบริโภคแคลเซียม ควรเป็นการเพิ่มการบริโภคโดยใช้อาหารเป็นหลักไม่แนะนำให้บริโภคในรูปสารสังเคราะห์ ยกเว้นการอยู่ในความดูแลแพทย์ เพราะอาจเกิดผลที่ไม่พึงประสงค์ได้ กรณีที่ได้รับแคลเซียมในปริมาณที่มากเกิน คือ มากกว่า 2000 มิลลิกรัมต่อวัน อาจก่อให้เกิดภาวะแคลเซียมในเลือดสูง ทำให้มีอาการปัสสาวะบ่อย คลื่นไส้ อาเจียน มีอาการขาดน้ำ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ซึม หมดสติ เกิดนิ่วในไต ผลข้างเคียงที่พบบ่อย คือ ท้องผูก แน่นท้อง เป็นต้น